วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

อบเชย Cassia ต่างกับ อบเชย cinnamon อย่างไร

พืชพรรณในสกุลอบเชย (Genus Cinnamomum) ส่วนใหญ่ใบและเปลือกมีกลิ่นหอมเป็นไม้ยืนต้น พบกระจายกว้างขวางทั่วไปทั้งในเขตร้อนและกึ่งร้อน เช่น ในแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ คุมไปถึงประเทศอินเดีย ศรีลังกา และ ประเทศใกล้เคียง ในประเทศจีนมีการกระจายตั้งแต่ทางตอนใต้ไปจนถึงตอนกลางของประเทศ พบในญี่ปุ่นไต้หวันนอกจากนั้นยังพบในออสเตรเลียและหมู่เกาะในทะเลแปซิฟิก (Hooker,1974) จากรายงานใน Index Kewensis พบพืชสกุลนี้ในโลกถึง 328 ชนิด สำหรับประเทศไทย เต็ม สมิตินันท์ (2523) รายงานไว้ 18 ชนิด (สมคิด สิริพัฒนดิลก2546)  แม้พันธุ์ในสกุลอบเชยมีจำนวนมากแต่ก็มีเพียง 2 ประเภทใหญ่ ที่ทำการค้าในตลาดโลก คือ อบเชยเทศ (Cinnamon) และ แคสเซีย (Cassia) ซึ่งเมื่อพิจารณาจากแหล่งผลิต และคุณภาพพบว่าในตลาดซื้อขายอบเชย  มีอบเชย 4 ชนิด เป็นอบเชยเทศ 1 ชนิดและแคสเซีย 3 ชนิด โดยแต่ละชนิดมีชื่อสามัญและชื่อวิทยาศาสตร์แต่งต่างกัน คือ

1. อบเชยเทศ (Cinnamon)  
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cinnamomum verum J.S.Presl   วงศ์: Lauraceae                             ชื่อสามัญ : Ceylon cinnamon, Cinnamon tree       

2.   แคสเซีย (Cassia)
อบเชยจีน
ชื่อวิทยาศาสตร์Cinnamomum aromaticum Nees  วงศ์ :  Lauraceae ชื่อสามัญ : Cassia bark, Cassia lignea
อบเชยญวน
ชื่อวิทยาศาสตร์Cinnamomum loureirii   Nees  วงศ์:  Lauraceae  ชื่อสามัญ: Saigon cinnamon, Saigon cassia
อบเชยชวา
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Cinnamomum burmanii   (Nees) Blume  วงศ์ :  Lauraceae  ชื่อสามัญ: Batavia cinnamon, Batavia cassia, Padang- cassia, Penang cinnamon

Cassia เป็นพืชที่มีเปลือกหอม คล้ายกับ Cinnamon แต่มีความหนาและคุณภาพเปลือกต่างกัน  เปลือกของ Cassia มีสีคล้ำ หนาและไม่เรียบ โดยผิวเปลือกด้านนอกขรุขระและมีสีน้ำตาลเทา ส่วนเปลือกด้านในเรียบกว่า มีสีน้ำตาลแดง Cassia  มีราคาถูกกว่า  Cinnamon 
หน่อของ Cassia มีลักษณะคล้ายกานพลู   หน่อที่ยังไม่แก่ที่แห้งมีความยาวประมาณ 14 mm.

   Cassia มีถิ่นกำเนิดที่ประเทศพม่า และมีการปลูกมากในประเทศจีน แถบอินโดจีน ทางตะวันออกและตะวันตกของอินเดียและอเมริกากลาง
   นอกจาก 3 ชนิด ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น Cassia ยังมีอีกหลายสายพันธุ์ แต่ในที่นี้จะกล่าวถึงเพียง อบเชยจีน อบเชยญวน และอบเชยชวา เท่านั้น เนื่องจากทั้ง 3 เป็นสายพันธุ์ที่มีการค้าในตลาดโลก

   อบเชยจีน
   อบเชยจีนเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีความสูงและขนาดของลำต้นมากกว่าอบเชยเทศ มีเปลือกหนาหยาบกว่า และสีเข้มกว่าอบเชยเทศ โดยเปลือกต้นมีสีน้ำตาลแกมเทา กิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาล ใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามและเยื้องกัน ใบมีลักษณะคล้ายรูปหอกกว้าง 3-4 ซม. เป็นมันสีเขียวเข้ม ออกดอกเป็นช่อ ดอกมีขนาดเล็ก สีขาวหรือสีขาวแกมเหลือง มีขนอ่อน ๆ ที่ก้านดอก ผลสดรูปวงรี ยาว 10-13 มม. เมื่อสุกสีม่วงดำ ผิวเลี้ยง เม็ดแข็ง เนื้อผลนิ่ม กลิ่นหอมฉุน มีรสขมเล็กน้อย

โครงสร้างของเปลือกอบเชยจีน
ภาพตัดขวางเปลือกอบเชยจีน
      เมื่อพิจารณาลักษณะทางจุลทรรศน์ของภาคตัดขวาง
(cross section) ของเปลือกอบเชยจีนจะพบชั้นคอร์กค่อนข้างหนา ถัดเข้ามาเป็นชั้น cortex และ pericycle คล้ายกับที่พบในอบเชยเทศ 



เมื่อดูผงแป้งใต้กล้องจุลทรรศน์จะพบชิ้นส่วนของคอร์ก best fiber เม็ดแป้งกลมและขนาดใหญ่ (22 ไมโครเมตร) ซึ่งทั้งขนาดและจำนวนจะแยกความแตกต่างของอบเชยจีนกับอบเชยเทศ และอบเชยชนิดอื่นๆ ได้

อบเชยที่มีคุณภาพดีต้องได้จากต้นที่มีอายุ 10-12 ปี อบเชยจีนชนิดดีจะต้องได้จากแขนงที่ยังอ่อนอยู่และขึ้นบนชะง่อนผา เมื่อลอกเปลือกออกมาจากเนื้อไม้แล้ว ทางด้านในของเปลือกมีเมือกเคลือบอยู่ ซึ่งจะต้องล้างเอาเมือกออกให้หมด เพราะถ้าทิ้งไว้จะทำลายกลิ่นของอบเชย

อบเชยญวน
อบเชยญวนเป็นไม้ยืนต้น ซึ่งมีลักษณะลำต้นคล้ายคลึงกับอบเชยจีนมาก  ใบเป็นใบเดี่ยวค่อนข้างบาง รูปร่างยาวเรียว ปลายใบแหลม ดอกและผลมีขนาดเล็ก มีกลิ่นหอมแต่หอมไม่เท่ากับอบเชยเทศ แต่มีรสหวาน  แต่ลักษณะผงแป้ง จะพบเม็ดแป้งมากและขนาดใหญ่กว่า 10 ไมโครเมตร ผลึกเป็นรูปเข็มจะเห็น Secretion cell ปริมาณมากกว่าและใหญ่กว่าอบเชยชนิดอื่นๆ

    อบเชยชวา
    อบเชยชวาเป็นไม้ยืนต้นที่ใหญ่กว่าอบเชยที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด สูงได้ถึง 20 เมตร  เป็นอบเชยที่วางจำหน่ายตามท้องตลาดทั่วไป แต่นิยมเรียกกันว่าอบเชยเทศ ใบยาวเรียว ปลายใบแหลม ดอกและผลมีขนาดเล็ก มีกลิ่นหอมแต่น้อยกว่าอบเชยเทศ  
โครงสร้างของเปลือกอบเชยชวา
  เมื่อพิจารณาลักษณะทางจุลทรรศน์ของอบเชยชวา เมื่อดูภาคตัดขวางมีลักษณะคล้ายคลึงกับอบเชยชนิดอื่น ๆ


เมื่อพิจารณาจากผงแป้งจะเห็นความแตกต่างกับอบเชยอื่นๆ อย่างเด่นชัดที่ผลึก Calcium oxalate จะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือปริซึม แป้งพบได้น้อยมากและขนาดเล็กประมาณ 6-8 ไมโครเมตร


Cassia ที่นิยมนำมาสกัดน้ำมันหอมระเหย คือ Cassia bark หรือ อบเชยจีน ซึ่งองค์ประกอบทางเคมีของของน้ำมันหอมระเหยที่ได้จากอบเชยจีน มีดังต่อไปนี้
ตารางที่ 2  องค์ประกอบทางเคมีของของน้ำมันหอมระเหยที่ได้จากอบเชยจีน

องค์ประกอบทางเคมี
คุณสมบัติ
ชนิด
ปริมาณ
cinnamic aldehyde
benzaldehyde
chavicol
linalool
cinnamyl acetate
87.00%
4.73%
0.33%
0.13%
0.08%
Stimulant
Antiseptic
Antibiotic
Astringent
Carminative
Digestive
Emmenagogue
Stomachic
Insecticide
Antispasmodic

นอกจากองค์ประกอบทางเคมีที่มีอยู่ในตารางแล้ว ยังมีองค์ประกอบทางเคมีอื่น คือ cinnamanic acid, phynylpropyl acetate, orthocumaric aldehyle, tannic acid และแป้ง การที่อบเชยจีนมีแป้งอยู่มากเป็นข้อบ่งชี้ถึงความแตกต่างกับอบเชยเทศ นอกจากนี้ในน้ำมันจะไม่พบ Eugenol เลย 
ความแรงของกลิ่นของน้ำมันหอมระเหย cassial อยู่ที่ระดับ 3  แต่ถ้าใช้เกณฑ์ของ Appell ความแรงของกลิ่นจะอยู่ที่ระดับ 7  

Appell ได้จัดระดับความแรงของกลิ่นไว้ดังนี้

          10 — Volcanic         9 — Incendiary   

.          8 — Fiery .          7 — Burning   

           6 — Hot            5 — Picquant

           3 — Medium          2 — Mild 

           1 — Delicate          0 — Neutral



เอกสารอ้างอิง

นันทวัน  บุญยะประภัศรและอรนุช  โชคชัยเจริญพร.   2542 .  สมุนไพรพื้นบ้าน เล่ม 5. ประชาชื่น จำกัด  กรุงเทพฯ

นิจสิริ เรืองรังษี.   2534.   เครื่องเทศ.   จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,   กรุงเทพมหานคร.

สมคิด สิริพัฒนดิลก, พันธุ์ศักดิ์ ถ่องแท้มุ่งเจริญ และ วิชาญ เอียดทอง.   2539.   รายงานฉบับสมบูรณ์เรื่อง วิธีการขยายพันธุ์และการเก็บเกี่ยวเพื่อการอนุรักษ์พันธุ์ไม้มีค่าบางชนิดในสกุลอบเชย.สถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์,   กรุงเทพมหานคร



****************



30ml fragrance-free SPF30 plus Sunscreen Spray with Parsol 1789 30ml fragrance-free SPF30 plus Sunscreen Spray with Parsol 1789
ทางบริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการไม่รับเปลี่ยนหรือคืนสินค้าในหมวดเครื่องสำอาง Kinesys สเปรย์กันแดดสูตรน้ำที่ได้รับรางวัลและการการันตีเรื่องความปลอดภัยต่อผิวจากหลายสถาบันในสหรัฐอเมริกา ใช้และเติมระหว่างวันได้สะดวก ด้วยหัวสเปรย์แบบละออง อีกทั้งยังปราศจากน้ำหอม แอลกอฮอล์ น้ำมัน สารกันเสียที่ทำให้ระคายเคืองผิว หรือเกิดปัญหาสิว ผิวแดง คุณจึงมั่นใจได้ว่าสามารถใช้ Kinesys ได้อย่างปลอดภัย แม้แต่ผิวของเด็ก หรือผิวแพ้ง่าย

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วิตามิน อี....วิตามินแห่งการสืบพันธุ์

หลายคนคงไม่คิดว่าวิตามินที่มีหน้าที่ช่วยในการสืบพันธุ์โดยตรงคือ วิตามิน อี (Vitamin E) หรือมีอีกชื่อหนึ่งว่า "โทโคเฟอรอล" ซึ่งเป็นวิตามินที่มักเป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่าเป็นวิตามินสำหรับความงามที่ช่วยชลอการแก่ก่อนวัยของผิวหนัง อันเป็นหน้าที่รองของวิตามินอี

โทโคเฟอรอล มาจาก ภาษา กรีก 2 คำ คือ "โทโคส (Tokos)" ที่แปลว่า ให้กำเนิดลูก  และ คำว่า "  เฟอรอล (Pherol) " ที่แปลว่า การทำให้มี หรือ การนำพา

ตามหลักการทางเคมี วิตามินอี เป็นสารประกอบที่อยู่ในกลุ่มสารที่มีชื่อว่า "โทโค (Tocos)" ซึ่งสารในกลุ่มนี้มี 2 ชนิดคือ โทโคเฟอรอล (Tocopherols)  และ โทโคไตรอีนอล (Tocotrienol)

การค้นพบวิตามินอี เริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1911 โดยรู้จักวิตามินอี ในฐานะที่เป็นสารที่ทำหน้าที่เป็น antisterility factor ในสัตว์ และในอีก 9 ปีต่อมาได้มีนักวิจัยชื่อ Matthill และ Conklin ได้สังเกตพบว่าหนูที่กินอาหารผสมนมแตาขาดวิตามินจะมีความผิดปกติด้านการสืบพันธุุ์ แต่ไม่ทราบว่าการขาดวิตามินอะไรที่เป็นสาเหตุทำให้หนูมีความผิดปกติด้านการสืบพันธุ์

ในปี ค.ศ. 1922 นักวิจัยชื่อ Evans และ Bishop ได้ทดลองเติมวิตามิน เอ และ วิตามิน บี ลงในอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีนให้หนูกิน พบว่า แม้ว่าจะเสริมวิตามินเอ และวิตามินบีในอาหารแล้ว หนูตัวเมียก็ยังคงแท้งลูกและเป็นหมันในที่สุด  ดังนั้นจึงได้มีการเติมผักใบเขียว  ผักกาดหอม  อัลฟาฟา และเนยเหลวเสริมในอาหารหนู พบว่าหนูไม่เป็นหมัน นั่นแสดงว่า ผักใบเขียว เนยมีสารที่จำเป็นและมีความสำคัญต่อการสืบพันธุ์ของสัตว์ จึงตั้งชื่อว่า "แฟคเตอร์ เอกซ์ (Factor X)"  ต่อมาในปี ค.ศ. 1924 ได้มีการเปลี่ยนชื่อจาก "แฟคเตอร์ เอกซ์" เป็น วิตามิน อี (Vitamin E) โดยนักวิทยาศาสตร์ชื่อ Sure  และในปี ค.ศ. 1934 ได้มีการสกัดวิตามินอีเป็นครั้งแรกจากรำข้าวสาลี และตั้งชื่อใหม่อีกชื่อหนึ่งตามลักษณะโครงสร้างทางเคมีว่า "โทโคเฟอรอล" อีก 2 ปีต่อมาจึงได้มีการสังเคราะห์วิตามินอีขึ้นมา ในรูปของ "ดี-แอล-อัลฟาโทโคเฟอรอล (dl-alpha tocopherol)" โดยนักวิทยาศาสตร์ชื่อ Karrer และเป็นผลงานที่ทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบล

การค้นพบว่า วิตามินอี มีฤทธิ์ต่อต้านปฏิกิริยาสร้างอนุมูลอิสระ (antioxidative activity) ในปี ค.ศ. 1945 จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1962 ได้มีการศึกษาผลของวิตามินอีในกระบวนการเมตาบอลิซึมของสิ่งมีชีวิตและพบว่าวิตามินอีเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระด้วย  จากการต้นพบนี้นำมาสู่การประยุกต์ใช้อธิบายการเสื่อมสภาพของเนื้อเยื่อ เซลล์ และความชรา และนำมาสู่การประยุกต์ใช้วิตามินอีในผลิตภัณฑ์เวชสำอาง และ โภชนาการอย่างกว้างขวาง

วิตามินอีชนิดอัลฟา และ บีต้า ต่างกันอย่างไร

ผู้อ่านคงเคยได้เห็นวิตามินอีที่เรียกว่า "อัลฟาโทโคเฟอรอล" และ ที่เรียกว่า "บีต้าโทโคเฟอรอล"  โทโคเฟอรอลมี 4 ชนิด ค่ะ คือ "อัลฟาโทโคเฟอรอล"  "บีต้าโทโคเฟอรอล"  "แกมมาโทโคเฟอรอล" และ "เดลต้าโทโคเฟอรอล" คำว่า อัลฟา, บีต้า, แกมมา, และ เดลต้า เป็นชื่อสัญญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงลักษณะโครงสร้างทางเคมีปลีกย่อยของวิตามินอี  และการที่วิตามินอีมีโครงสร้างปลีกย่อยที่แตกต่างกันมีผลทำให้การแสดงฤทธิ์แตกต่างกันด้วย

วิตามินอีชนิดที่แสดงฤทธิ์ทางชีวภาพมากที่สุดคือ วิตามินอีชนิด แอลฟาโทโคเฟอรอล รองลงมาคือ  แกมมาโทโคไตรอีนอล   โดยวิตามินอีชนิด แอลฟาโทโคเฟอรอลมีฤทธิ์ทางชีวภาพสูงสุด 100%  ส่วนวิตามินอีชนิดแกมมาโทโคเฟอรอลและ แอลฟาโทโคไตรอีนอลมีฤทธิ์ทางชีวภาพ 30%  ขณะที่วิตามินอีชนิดเดลต้าโทโคเฟอรอลมีฤทธิ์เพียง 1.4% เท่านั้น  การแสดงฤทธิ์ของวิตามินอีขึ้นอยู่กับการทำหน้าที่เป็นสารต้านออกซิเดชั่นเป็นสำคัญ


วิตามินอีชนิดที่แสดงฤทธิ์ต้านออกซิเดชันมากที่สุดคือ วิตามินอีชนิด เดลต้าโทโคเฟอรอล รองลงมาคือ  แกมมาโทโคเฟอรอล บีต้าโทโคเฟอรอล และ แอลฟาโทโคเฟอรอล ตามลำดับ

หน้าที่ของวิตามินอีในร่างกาย

แม้ว่าเราจะทราบหน้าที่ของวิตามินอี  แต่กลับไม่ทราบหน้าที่ของวิตามินอีในร่างกายไม่ชัดเจน พบว่าการแสดงฤทธิ์ของวิตามินอีในร่างกายขึ้นอยู่กับการเป็นตัวต้านออกซิเดชั่นเป็นสำคัญ ซึ่งจะช่วยป้องเซลล์เนื้อเยือของร่างกายจากอนุมูลอิสระ  ป้องกันการแตกตัวของเม็ดเลือดแดง  และช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง  ป้องกันการเกิดลิ่มเลือด ทำให้เส้นเลือดแข็งแรง ทำให้เลือดหมุนเวียนดี จึงมีการนำวิตามินอีมาใช้รักษาอาการเส้นเลือดขอด  ความดันโลหิตสูง และ thrombophlebitis เป็นต้น

References:
ณกัญภัทร  จินดา. 2548. เอกสารประกอบการสอนวิชาเทคโนโลยีน้ำมันพืช. สาขาวิชาเทคโนโลยีทางกระบวนการเคมีและฟิสิกส์, คณะอุตสากรรมเกษตร, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, กรุงเทพฯ
ศิริวรรณ  สุทธจิตต์. 2550. วิตามิน. สำนักพิมพ์ the knowledge center, กรุงเทพฯ. 123-143 น.
Meydani, M. 1995. Vitamin E. Lancet. 345:170-175.