วิตามินแห่งความงาม Pantothenic Acid
กรดแพนโทเทนิค (Pantothenic acid) หรือ ที่รู้จักกันในชื่อ วิตามิน B5 นั้นเป็นวิตามินที่ถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางมากที่สุด รองลงมาคือ อาหารเสริมที่ใช้สำหรับลดความน้ำหนัก และ ยารักษาโรคขาดวิตามิน B
กรดแพนโทเทนิค ที่ใช้ผสมในเครื่องสำอาง จะอยู่ในฟอร์มที่เป็น D-Panthenol นิยมใช้ในเครื่องสำอางที่ใช้บำรุงผิวและเส้นผมมากกว่า เนื่องจาก D-Panthenol มีสมบัติ surfactant effect สูง ทำให้ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดี ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว จึงทำหน้าที่เป็น skin protective agent ในผลิตภัณฑ์ประเภท after-sun ซึ่งกรดแพนโทเทนิคจะเป็นตัวเสริมวิตามินในผิวที่ถูกแสงแดดทำลาย
ในผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม กรดแพนโทเทนิคทำหน้าที่เป็นสารให้ความชุ่มชื้นและช่วยปรับสภาพเส้นผม ป้องกันและซ่อมแซมเกล็ดเส้นผมจากการถูกทำลายด้วย สารเคมี ความร้อน และ แสงแดด จากการย้อมผม การเป่าผม การแปรงผม
ในทางการแพทย์ กรดแพนโทเทนิค ยังช่วยสมานแผลหลังการผ่าตัดได้ดี โดยไปกระตุ้นให้เซลล์เนื้อเยื่อเจริญเติบโตเต็มที่จนสามารถซ่อมแซมเนื้อเยื่อได้ ทำให้อาการอักเสบและบวมแดงลดลง
ปัจจัยใดที่ร่างกายต้องการกรดแพนโทเทนิค
ปริมาณกรดแพนโทเทนิคที่ RDI แนะนำ คือ วันละประมาณ 200 ไมโครกรัม แต่โดยปกติแล้วร่างกายไม่ค่อยขาดวิตามินนี้ ยกเว้นคนที่ขาดอาหารและวิตามิน B อย่างรุนแรง ซึ่งอาจจะทำให้ร่างกายมีระดับของวิตามินนี้ลดลงถึง 25-30% นอกจากนี้ผู้ที่รับประทานยาเม็ขึ้ดคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสติน ก็อาจมีผลทำให้ร่างกายต้องการวิตามินนี้มากขึ้น
อาหารที่มีกรดแพนโทเทนิค
วิตามิน B5 นี้พบได้ทั่วไปในพืช สัตว์ และจุลินทรีย์ พืชสีเขียวส่วนมากและจุลินทรีย์โดยเฉพาะยีสต์มีวิตามินนี้มากที่สุด พืช ยีสต์และจุลินทรีย์ในลำไส้เล็กสามารถสังเคราะห์วิตามินนี้ได้จากกรดคีตอยส์โววาเลอริค (ketoisovaleric acid) และกรดแอสปาร์ติค (aspartic acid)
สำหรับในพืช สามารถพบวิตามินนี้ได้มากในเมล็ด (เช่นเมล็ดถั่ว 100 กรัม จะมีวิตามินนี้ประมาณ 2-5 มิลลิกรัม ละอองเกสรดอกไม้ 100 กรัม จะมีวิตามินนี้ประมาณ 3 มิลลิกรัม ธัญพืช 100 กรัม จะมีวิตามินนี้ประมาณ 1-2 มิลลิกรัม ถ้าเป็นเมล็ดกำลังงอกจะมีปริมาณมากขึ้น) รองลงมาคือในผักและผลไม้
ผักใบเขียว 100 กรัม มีวิตามินนี้ประมาณ 0.1-0.5 มิลลิกรัม ขณะที่ผลไม้ 100 กรัม มีวิตามินนี้น้อยกว่า 70 มิลลิกรัม ผักที่มีวิตามินนี้มากเช่น บรอคโคลี่ ถั่ว เห็ด มันเทศ อโวกาโด อย่างไรก็ตามพบว่าการแปรรูปมีผลทำให้สูญเสียวิตามินนี้ไป ดังนั้นจึงควรบริโภคผักและผลไม้ที่ผ่านการแปรรูปน้อยที่สุด สำหรับแหล่งวิตามินในเนื้อสัตว์ ได้แก่ ไข่แดง ตับ และไต
กรดแพนโทเทนิค หรือวิตามิน B5 ในอาหารจะพบอยู่ในรูปของ โคเอนไซม์ เอ (coenzyme A) เมื่อเรารับประทานอาหารเข้าสู่ระบบการย่อยในลำไส้เล็ก โคเอนไซม์ เอ จะถูกย่อยสลายด้วยเอนไซม์ในลำไส้เล็กกลายเป็น กรดแพนโทเทนิค ซึ่งจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด และถูกนำไปใช้ในเนื้อเยื่อต่างๆ ในกระแสเลือดจะมีวิตามินนี้เพียง 1 มิลลิกรัมต่อเลือด 1 ลิตรเท่านั้น เมื่อวิตามินถูกดูดซึมเข้าสู่ภายในเซลล์เนื้อเยื่อ กรดแพนโทเทนิค จะรวมตัวกลายเป็น โคเอนไซม์ เอ อีกครั้ง
ส่วนวิตามินที่ไม่ถูกดูดซับเข้าสู่เซลล์เนื้อเยื่อจะถูกเก็บสะสมไว้ในตับ ต่อมหมวกไต ไต สมอง อัณฑะ และ ส่วนที่ไม่ถูกเก็บสะสมร่างกายจะขับออกมาทางปัสสาวะ 70% และอุจจาระ 30%
กรดแพนโทเทนิค จะออกฤทธิ์เสริมกันกับ วิตามิน B1 วิตามิน B2 วิตามิน B12 วิตามิน C กรดโฟลิค Biotin และ Niacin และเสริมฤทธิ์ในการลดไขมัน เมื่อใช้ร่วมกับกรดไนโคตินิค (nicotinic acid) หรือ สารยับยั้งเอนไซม์ HMG-coA reductase inhibitors แต่การใช้ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
รูปแบบที่ถูกนำมาใช้เป็นยาและอาหารเสริม
ด้วยคุณสมบัติการออกฤทธิ์ทางด้านสุขภาพและความงาม กรดแพนโทเทนิคจึงถูกนำมาใช้เป็นอาหารเสริมและยารักษาโรค โดยมีการใช้ในฟอร์มต่างๆดังนี้
- เกลือแคลเซียม หรือ calcium pantothenate USP/Racemic clcium pantothenate USP
รูปแบบนี้มีความคงตัวสูงกว่ารูปแบบอิสระ และสามารถละลายน้ำได้ดี เมื่อเข้าสู่ร่างกายจึงแตกตัวเป็นกรดแพนโทเทนิคอิสระ
- รูปที่เป็น Panthenol USP
รูปแบบนี้มีความคงตัวต่ำในสภาวะที่เป็นกรด (พีเอช 3-6) แต่สามารถถูกดูดซึมในระบบทางเดินอาหารได้ดี
-รูปที่เป็น Dexpanthenol USP
รูปแบบนี้ใช้เป็นยารักษาโรคลำไส้เล็กไม่ทำงาน (paralytic ileus) และภาวะอาการหลังผ่าตัดลำไส้เล็ก และมักใช้ร่วมกับ โคลีน (choline) เพื่อลดอาการท้องอืด
--------------------------------------------
Thai RDI (Thai Recommended Daily Intakes) หมายถึง ปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน สำหรับคนไทยอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป โดยคิดจากความต้องการพลังงานวันละ 2,000 กิโลแคลอรี
อ้างอิง
1. Combs, Gerald. The Vitamins: Fundamental Aspects in Nutrition and Health. Burlington: Elsevier Academic Press, 2008.
2. Tahiliani A.G. and Beinlich, C.J. Pantothenic acid in health and diesease. Vitamins and Hormones, 46: 165-228.